วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

จุลินทรีย์ในร่างกายโลกใบใหญ่ในตัวเรา


ร่างกายของเราเปรียบเสมือนบ้านหลังใหญ่ให้จุลินทรีย์ได้อาศัยจุลินทรีย์ทั้งหลายเหล่านี้มีบทบาทมากบ้างน้อยบ้าง บางตัวดี บางตัวร้าย บางตัวเปลี่ยนจากดีเป็นร้ายได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร ทุกอย่างก็หลอมรวมเป็นโลกใบใหญ่ ในตัวเราทุกคนมาจวบจนถึงวันนี้

จุลินทรีย์มีอยู่ทุกหนแห่ง หากโลกของเราปราศจากจุลินทรีย์ โลกก็คงล่มสลาย จุลินทรีย์มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนทุกชีวิตบนโลกโดยทำหน้าที่เป็นผู้ย่อย สลายทำให้เกิดการหมุนเวียนสารอาหารในสิ่งแวดล้อม ช่วยพืชสังเคราะห์แสง ช่วยป้องกันพืชและสัตว์ รวมถึงมนุษย์ด้วย

ร่างกายมนุษย์เรานั้นปกคลุมด้วยจุลินทรีย์ เซลล์ในร่างกายเราว่ามีจำนวนมากแล้ว แต่เชื่อหรือไม่ว่า จุลินทรีย์ที่มีอยู่ใน ตัวเรานี้มีมากกว่าจำนวนเซลล์เป็นสิบเท่า ร่างกายคนเราคือโลกใบใหญ่ของจุลินทรีย์โดยแท้ โลกใบใหญ่ในตัวเรานี้มีทั้งประชากรแบคทีเรีย รา ยีสต์ และโปรโตซัว สิ่งมีชีวิตที่เล็กจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นเหล่านี้ครอบครองพื้นที่เกือบทุก อณูในร่างกายทั้งภายนอกและภายใน...

จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน
จุลินทรีย์อาศัยร่างกายของเรามาตั้งแต่เกิดและเมื่อสิ้นลมหายใจ จุลินทรีย์เข้าครอบครองและจัดการย่อยสลายซากชีวิตของเราจนกลายเป็นฝุ่นผงการ ที่ร่างกายของเรามีจุลินทรีย์อาศัยอาจสร้างความรู้สึกตะขิดตะขวง แต่จริงๆ แล้วมันก็เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่เราลืมตาขึ้นมาดูโลก ทารกที่อยู่ในครรภ์นั้นอยู่ในสภาพปลอดเชื้อโดยสิ้นเชิง แต่จุลินทรีย์จะเริ่มลงหลักปักฐานในร่างกายของเราตั้งแต่แรกคลอดจากท้องแม่ ทารกเริ่มได้รับเชื้อจุลินทรีย์ขณะที่คลอด ผ่านช่องคลอด เริ่มต้นสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมภายนอก และเริ่มรับเอาจุลินทรีย์ต่างๆ เข้าสู่ร่างกาย ทั้งโดยการสัมผัส การ กินอาหาร การหายใจ จากนั้นค่อยๆ มีการเปลี่ยนแปลง จน กระทั่งจะมีจุลินทรีย์จำนวนหนึ่งอยู่กับเราไปจนตลอดชีวิต เรียกว่า จุลินทรีย์ประจำถิ่น (normal flora) เราจะพบจุลินทรีย์ประจำถิ่นได้ในทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นผิวหนัง ทางเดินหายใจ ทาง เดินปัสสาวะ ระบบย่อยอาหาร ส่วนอวัยวะที่ไม่พบจุลินทรีย์อาศัยก็คือ สมอง ระบบเลือด ระบบน้ำเหลือง และปอด

ทบทวนความสัมพันธ์
ในเมื่อร่างกายของเราคือโลกใบใหญ่สำหรับจุลินทรีย์ พวกมันได้พึ่งพาอาศัยอยู่ในตัวเรา ซึ่งการอยู่อาศัยในร่างกายของเรานั้นมีรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าบ้าน คือตัวเรา และผู้อาศัยคือจุลินทรีย์อยู่สามแบบหลักๆ คือ แบบพึ่งพากัน (mutualism), แบบอิงอาศัย (commensalism), และแบบปรสิต (parasitism)

ความสัมพันธ์แบบพึ่งพากันนั้นทั้งฝ่ายเจ้าบ้านและผู้อาศัย ต่างได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ส่วนความสัมพันธ์แบบอิงอาศัย เจ้าบ้านไม่ได้หรือไม่เสียประโยชน์ แต่ผู้อาศัยได้รับประโยชน์ และความสัมพันธ์แบบสุดท้ายคือแบบปรสิต เจ้าบ้านเป็นฝ่ายเสียประโยชน์ในขณะที่ผู้อาศัยได้ประโยชน์อยู่ฝ่ายเดียว ความสัมพันธ์แบบพึ่งพาและแบบอิงอาศัยนั้นบางครั้งก็อาจระบุได้ยาก หากยังไม่ทราบความสัมพันธ์อย่างชัดเจนระหว่างจุลินทรีย์และร่างกายของเรา

ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าบ้านกับชุมชนจุลินทรีย์ผู้อาศัย จะเป็นความสัมพันธ์เชิงบวกหรือลบนั้นขึ้นกับหลายปัจจัย ร่างกายของเจ้าบ้านให้อาหารและที่พักแก่เหล่าจุลินทรีย์ จุลินทรีย์ยึดครองพื้นที่ส่วนต่างๆ ทำให้จุลินทรีย์ก่อโรคเข้ามายึดครองพื้นที่ไม่ได้ นอกจากนี้ ชุมชนของจุลินทรีย์ยังมีส่วนช่วยร่างกายเจ้าบ้านทำหน้าที่ต่างๆ เช่น การย่อยอาหาร หรือสังเคราะห์ สารอาหารที่เป็นประโยชน์ทั้งต่อตัวจุลินทรีย์และเจ้าบ้าน แต่ความสัมพันธ์เช่นนี้ก็มิได้คงเส้นคงวาเสมอไป ในบางสภาวะ จุลินทรีย์ผู้อาศัยก็อาจกลายร่างเป็นจุลินทรีย์ก่อโรค หรือถูกรุก รานโดยจุลินทรีย์ก่อโรคชนิดอื่น ผลที่เกิดจากเหตุนี้ก็คือ ร่างกายของเจ้าบ้านเจ็บไข้ไม่สบาย ซึ่งไม่ว่าจะมีความสัมพันธ์เช่นไร เมื่อคนและจุลินทรีย์ต้องมาอยู่ร่วมกันแล้ว เราก็น่าจะทำความรู้จักจุลินทรีย์ตามอวัยวะต่างๆ กันสักหน่อย

ชีวิตบนพื้นผิว (หนัง)
ผิวหนังมนุษย์มีจุลินทรีย์ทั้งหมดประมาณ 1012 เซลล์ (หนึ่งล้านล้านเซลล์) พื้นที่ผิวหนังของคนเรานั้นมีขนาดพื้นที่ประมาณสองตารางเมตร กระนั้นก็มีสภาพความแตกต่างที่หลากหลาย เปรียบได้กับภูมิภาคต่างๆ ของโลก อย่างเช่น สภาพแห้งแล้งเป็นทะเลทรายของท่อนแขน สภาพอบอุ่นของหนังศีรษะ และสภาพร้อนชื้นของรักแร้ เป็นต้น ซึ่งก็ทำให้มีจุลินทรีย์ชุมนุมอยู่ตามส่วนต่างๆ ในปริมาณและชนิดที่แตกต่างกันไป แต่โดยรวมแล้วผิวหนังคนเรานั้นมีสภาพที่ ค่อนข้างแห้ง เป็นกรดอ่อน ทำให้จุลินทรีย์ส่วนใหญ่อยู่ไม่ได้ กระนั้นก็ยังมีจุลินทรีย์บางชนิดที่ปรับตัวและอาศัยอยู่บนผิวหนังมนุษย์ได้

ยกตัวอย่างเช่น โพรพิโอนิแบคทีเรียม แอกเนส (Propioni- bacterium acnes) เป็นแบคทีเรียแกรมบวก* ที่ไม่ใช้ออกซิเจน แหล่งอาศัยของพวกมันจึงเป็นรูหรือต่อมที่อยู่ลึกลงไปในผิวหนัง ซึ่งมีออกซิเจนต่ำ เห็นชื่อ P. acnes ก็คงจะเดาได้ว่าแบคทีเรียชนิดนี้เป็นตัวการทำให้เกิดสิว (acne) แต่ในเด็กที่อายุต่ำกว่า 10 ปีก็จะไม่ค่อยพบจุลินทรีย์ชนิดนี้ นั่นเป็นเพราะวัยเด็กยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางเคมีที่ทำให้ต่อมไขมันใต้ผิว หนังเริ่มขับไขมัน (sebum) ออกมา ทำให้ P. acnes เพิ่มจำนวนขึ้น แม้ว่าเรื่องสิวจะเป็นเรื่องเล็ก แต่หาก P. acnes ครอบครองพื้นที่ผิวหนังมากเกินไป ก็จะเป็นช่องทางให้เชื้อจุลินทรีย์ชนิดอื่นที่อันตรายกว่าเข้าสู่ร่างกายได้ ง่ายขึ้น

สำหรับแบคทีเรียตัวหลักที่ครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของผิวหนังก็คือ สแตฟิโลคอกคัส อีพิเดอร์มิดิส (Staphy- lococcus epidermidis) เป็นแบคทีเรียแกรมบวกที่ปรับตัวได้เก่ง อาศัยอยู่ในร่างกายได้หลายที่ ถ้า S. epidermidis ระบาดในโรงพยาบาลก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต S. epidermidis จะก่อตัวเป็นรูปแบบไบโอฟิล์ม (biofilm) ติดกับพื้นผิวของเครื่องมือแพทย์ โดยไบโอฟิล์มนี้มีฤทธิ์ต้านทานยาปฏิชีวนะ อันที่จริงแล้ว S. epidermidis นั้นไม่ใช่จุลินทรีย์ก่อโรค แต่ในบางกรณีมันอาจกลายเป็น “เชื้อฉวยโอกาส” (opportunistic organism) ที่ทำให้เกิดโรคได้

จุลินทรีย์ที่ดวงตา
เมื่อนำเยื่อตามาเพาะเชื้อก็พบกับแบคทีเรียหลายชนิดในปริมาณไม่มากนัก ได้แก่ S. epidermidis, P. acnes, นอกจากนี้ยังมีโอกาสพบ สแตฟิโลคอกคัสออเรียส (Staphy- lococcus aureus), เฮโมฟิลัส (Haemo- philus sp)., และ ไนส์ซีเรีย (Neisseria sp.) เยื่อตานั้นคงความชุ่มชื้นและสุขภาพดีอยู่เสมอโดยมีของเหลวจากต่อมน้ำตา หลั่งออกมาหล่อลื่นและฆ่าเชื้อ จึงไม่ค่อยพบจุลินทรีย์ที่บริเวณเยื่อตามากนัก

จุลินทรีย์ทุกลมหายใจ
จมูกคนเราเป็นแหล่งอาศัยของแบคทีเรียนามกระฉ่อนอย่าง S. aureus (อีกบริเวณที่มี S. aureus อยู่มากก็คือ บริเวณรอบทวารหนักและอวัยวะสืบพันธุ์) ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่ขึ้นชื่อลือชาในโรงพยาบาลด้านการติดเชื้อจากแผลผ่าตัด และการติดเชื้อจากระบบโรงพยาบาล นอกจากนี้ยังมี S. aureusสายพันธุ์พิเศษที่ชื่อ MRSA (Methicillin Resistance Staphylococcus aureus) ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะเมทิซิลลิน และแวนโคมัยซิน ปัจจุบันการพบเชื้อ MRSA เป็นปัญหาสำคัญในโรงพยาบาลที่เป็นอันตรายถึงชีวิต โดยแบคทีเรียจะติดต่อจากคนไข้คนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งแต่ก็มีบางคนที่แม้จะ ได้รับเชื้อก็จะไม่แสดงอาการ ซึ่งก็ยังไม่ทราบสาเหตุว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น

“เชื้อโรคร้าย” ในน้ำขัง


“เชื้อโรค” ที่มากับน้ำท่วมขังเพราะในช่วงหน้าฝน มักทำให้พื้นดินเปียกและชื้นแฉะ บางครั้งอาจเกิดน้ำท่วมขัง โอกาสที่เท้าและขาจะติดเชื้อโรค หรือได้รับปรสิตบางชนิดย่อมสูงขึ้นตามไปด้วย เรามาดูกันค่ะว่าในพื้นดินและแหล่งน้ำที่เหมือนว่าจะไม่มีอะไรน่ากลัว แต่ที่จริงแล้วมีวายร้ายตัวจิ๋วปะปนอยู่ไปทั่ว แต่จะเป็นอะไรบ้างนั้นไปดูกันเลย

กรณีน้ำท่วมขังประชาชนจำนวนมากต้องเดินลุยน้ำ และเกือบจะ 100% มีเชื้อโรคอยู่หลายชนิด ส่วนใหญ่ไม่สามารถผ่านผิวหนังเข้าสู่ร่างกายได้ แต่หากผิวหนังบริเวณขาและเท้ามีรอยแผล รอยถลอก รอยขีดข่วน ซึ่งเราอาจไม่รู้ตัว การเดินลุยน้ำท่วม อาจทำให้เชื้อโรคสามารถเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผล หรือรอยถลอกนั้น และก่อโรคติดเชื้อในคนได้ ในเขตร้อนชื้นอย่างบ้านเรา โรคติดเชื้อที่มักสัมพันธ์กับการเดินลุยน้ำท่วมขังที่สำคัญ คือ …

โรคฉี่หนู หรือทางการแพทย์เรียกว่า เลปโตสไปโรซิส เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีรูปร่างเป็นเส้นเกลียว ที่มีชื่อว่า เลปโตสไปรา ที่เรียกว่า โรคฉี่หนูนั้น เป็นเพราะมีหนูเป็นพาหะนำโรค แต่ยังมีสัตว์อื่นอีกหลายชนิดที่สามารถเป็นพาหะนำโรคได้ เช่น โค กระบือ สุกร และสุนัข เป็นต้น

สัตว์ที่เป็นพาหะของแบคทีเรียชนิดนี้อาจไม่แสดงอาการเจ็บป่วย แต่เชื้อมักรวมกลุ่มในบริเวณท่อไต และถูกขับออกมาทางปัสสาวะ ดังนั้น ในบริเวณที่มีน้ำท่วมขังซึ่งอาจมีการปนเปื้อนปัสสาวะของสัตว์ เช่น ไร่นา แอ่งดินโคลน บ่อน้ำ รวมถึงแอ่งน้ำตามท้องถนน ดังนั้น เมื่อเดินลุยน้ำ หรือผู้ที่ต้องสัมผัสกับแหล่งน้ำขัง เช่น เกษตรกร อาจทำให้เชื้อเข้าสู่ร่างกายได้ทางบาดแผลที่ขา ระยะฟักตัวของโรค ตั้งแต่ไม่เกิน 1 สัปดาห์จนถึง 4 สัปดาห์

ผู้ติดเชื้อบางส่วนอาจไม่แสดงอาการแต่บางรายจะมีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อตามตัว และคลื่นไส้อาเจียน รายที่มีอาการรุนแรง อาจเกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ร่วมกับมีความผิดปกติของตับและไตจนถึงเสียชีวิตได้

ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสแหล่งน้ำขัง หากจำเป็นควรใส่อุปกรณ์ป้องกัน เช่น รองเท้าบูต แต่หากมีประวัติสัมผัสน้ำท่วมขัง และเริ่มมีอาการไข้ ครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดเมื่อย ควรรีบปรึกษาแพทย์ โดยเฉพาะช่วงในฤดูฝน ซึ่งพบมีรายงานของโรคในหลายจังหวัดในทุกภูมิภาคของประเทศไทย

นอกจากโรคดังกล่าวแล้วยังมีเชื้ออื่นๆ ที่อาจพบในน้ำและก่อโรคโดยการเข้าทางบาดแผล เช่น แบคทีเรีย “วิบริโอ” และ “แอโรโมแนส” ซึ่งโดยปกติพบอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำธรรมชาติทั่วไป แต่ในฤดูฝน น้ำตามแหล่งน้ำอาจไหลเข้าท่วมพื้นที่ในชุมชน ซึ่งอาจทำให้ประชาชนมีโอกาสสัมผัสเชื้อโรคดังกล่าวมากขึ้น โดยเชื้อจะเข้าสู่ร่างกายทางรอยแผลที่ผิวหนัง ก่อให้เกิดการติดเชื้อมีลักษณะเป็นตุ่มน้ำ รายที่เป็นรุนแรง อาจมีไข้สูง หนาวสั่น ผิวหนังบวมแดงอักเสบเป็นบริเวณกว้าง ตุ่มน้ำปนเลือดขนาดใหญ่ ปวดกล้ามเนื้อขามากจนเดินไม่ไหวและเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น หากเริ่มมีอาการผิดปกติหลังจากสัมผัสแหล่งน้ำ ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย

และจากที่อธิบายมาทั้งหมดนี้ จะเห็นได้ว่า เชื้อโรคที่ปนเปื้อนในแหล่งน้ำท่วมขังนั้น สามารถก่อโรคที่อันตรายได้ถึงชีวิต มีเชื้อโรคมากมายปนเปื้อนและอาศัยอยู่ในน้ำ รวมถึงแหล่งน้ำตามธรรมชาติต่างๆ ทั้งแม่น้ำลำคลอง และแหล่งทำเกษตรกรรม ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสแหล่งน้ำโดยตรง โดยเฉพาะหากมีแผลถลอกที่ผิวหนัง หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ควรสวมอุปกรณ์ป้องกันและรีบปรึกษาแพทย์หากมีอาการผิดปกติ

กินแมลงทอดมีอันตรายไหม ..ระวังอย่างไร ?


เตือนคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ โรคหอบหืดควรเลี่ยงเปิบตัวดักแด้หนอนไหมหรือตัวต่อทอด เพราะอาจทำให้เกิดอาการแพ้รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ เนื่องจากผลการตรวจวิเคราะห์พบมีสารก่อภูมิแพ้ “ฮีสตามีน” สูงกว่าค่ามาตรฐานในอาหารกว่า 200 เท่า ปีที่ผ่านมาพบคนมีอาการแพ้หลังกินแมลงทอด 118 ราย แนะ แม่ค้าพ่อค้าในการทอดแมลงควรเปลี่ยน น้ำมันทอด และก่อนทอดควรเก็บแมลงไว้ในที่เย็นจัด อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส เพื่อป้องกันการเกิดสารก่อภูมิแพ้

นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ขณะนี้กระแสความนิยมบริโภคแมลงในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมที่ชาวชนบทนิยมนำมาปรุงเป็นกับข้าว ด้วยวิธีทอด ปิ้ง ย่าง คั่ว หมก อ่อม แกง ยำ และตำน้ำพริก แต่ขณะนี้กลายเป็นการบริโภคเป็นอาหารว่าง ปริมาณการบริโภคแมลงทุกชนิด ปีละประมาณ 2 ตัน ซึ่งอาหารประเภทนี้ มีคุณค่าทางโภชนาการ มีประโยชน์ต่อร่างกาย ให้โปรตีนสูง อย่างไรก็ตาม แมลงที่นำมาทอดก็มีความเสี่ยงในการปนเปื้อนสารอันตราย เช่น สารกำจัดศัตรูพืช กระทรวงสาธารณสุขได้จัดระบบเฝ้าระวัง ติดตามผลกระทบอย่างต่อเนื่อง ในช่วงวันที่ 24 ธันวาคม 2550 ถึงวันที่ 7 มกราคม 2551 ได้รับรายงานผู้ป่วยโรคอาหารเป็นพิษจากการรับประทานแมลงทอด เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลจำนวน 118 ราย จาก 7 จังหวัด ประกอบด้วย สิงห์บุรี นครศรีธรรมราช ตรัง สงขลา สุราษฎร์ธานี ชัยนาท และนครราชสีมา ส่วนใหญ่มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะรุนแรง พูดไม่ได้ ตัวสั่น เหงื่อออก ใจสั่น บางรายมีอาการชา โดยในจำนวนนี้ 78 ราย หรือร้อยละ 66 จำเป็นต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล

ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการตัวอย่างดักแด้หนอนไหม แมลงทั้งที่ทอดแล้วและยังไม่ทอด น้ำมันใช้ทอดแมลง ใบเตย และอาเจียนของผู้ป่วย ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ปรากฏว่าไม่พบสารพิษอันตรายตกค้างใดๆ แต่ตรวจพบสารฮีสตามีน (Histamine) ซึ่งเป็นสารก่อให้เกิดภูมิแพ้ ตกค้างอยู่ พบมากที่สุดในดักแด้หนอน ไหมทอด เก็บจาก จ.สุราษฎร์ธานี ตรวจพบ 875 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ในขณะที่ปริมาณฮีสตามีนในอาหารกำหนดระดับสูงสุดของแต่ละประเทศแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับชนิดอาหาร มีได้ตั้งแต่ 100-200 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ของไทยกำหนดให้มีได้น้อยกว่า 50 มิลลิกรัม/กิโลกรัม

นายแพทย์สุพรรณ กล่าวต่อว่า อาการแสดงหลังได้รับสารฮีสตามีนจะรุนแรงมากน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณที่กินเข้าไป แต่ในกลุ่มที่มีประวัติภูมิแพ้หรือหอบหืด จะตอบสนองได้เร็วกว่ากลุ่มบุคคลอื่น ควรหลีกเลียงกินดักแด้หนอนไหมและหนอนของตัวต่อ ซึ่งอาจเกิดอาการแพ้รุนแรงขั้นเสียชีวิตได้

นายแพทย์คำนวณ กล่าวต่อว่า ผลการตรวจสอบพฤติกรรมการทอดแมลงของแม่ค้าที่จังหวัดสระแก้ว พบว่าแม่ค้าจะใช้นำมันทอดชุดเดียวต่อวัน ใช้เวลาทอดประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่ง โดยจะเริ่มทอดเขียด แมลงดา แมลงกระชอน แมงเมี่ยง จิ้งหรีด และทอดดักแด้ลำดับสุดท้าย เนื่องจากเป็นสัตว์ที่มีความมันจะกลบกลิ่นแมลงชนิดอื่น ดังนั้นดักแด้จึงมีโอกาสสะสมปริมาณสารพิษที่ไม่ถูกทำลายด้วยความร้อนและละลายในไขมันที่ตกค้างจากแมลงชนิดอื่น

นอกจากนี้มูลเหตุของการก่อให้เกิดสารฮีสตามีนในแมลงทอดอาจเกิดมาจากกระบวนการเก็บรักษาและขนส่ง โดยอาจมีการปนเปื้อนแบคทีเรียในปริมาณสูง มีระบบความเย็นที่ไม่ดีพอ และแมลงตกค้างอยู่ในจังหวัดต่างๆ หลายสัปดาห์ ก่อนมาถึงแม้ค้ารายย่อยๆ ก็ได้ ดังนั้นการเก็บรักษา แมลงก่อนทอดให้ได้มาตรฐานควรเก็บในระบบความเย็นที่อุณหภูมิต่ำกว่า 4.4 องศาเซลเซียส ซึ่งจะสามารถยับยั้งขบวนการเกิดสารฮีสตามีนได้

นายแพทย์คำนวณ กล่าวต่ออีกว่า ในการเลือกตัวหนอนไหมก่อนทอด หากมีตัวที่ไม่สมบูรณ์หรือสีเปลี่ยนจากปกติ คือสีเหลืองทอง หรือมีกลิ่นเปรี้ยว ไม่ควรนำมาทอด ทั้งนี้ สำนักระบาดวิทยาได้ทำหนังสือแจ้งเวียนไปยังโรงพยาบาลต่างๆ โดยเฉพาะที่ห้องฉุกเฉินและสถานีอนามัยทั่วประเทศ หากพบผู้ป่วยที่มีอาการคลื่นไส้อาเจียน เวียนศีรษะ บ้านหมุนและให้ประวัติว่ากินแมลงทอดหรือดักแด้ ให้รีบแจ้งทีมสอบสวนเคลื่อนที่เร็วของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพื่อจะได้รีบดำเนินการควบคุมโรคต่อไป

วันพฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ฟักช่วยย่อยอาหารและบำรุงร่างกาย


ฟักเขียวเป็นผักพื้นบ้านที่รู้จักกันดีมาแต่เดิม เป็นผักสวนครัวชนิดหนึ่งที่ปลูกง่ายหาได้ง่าย และลงทุนปลูกน้อยไม่ต้องพึ่งสารเคมี เป็นผักชนิดแรกที่เด็กเริ่มหัดกิน ช่วยในเรื่องระบบย่อยอาหารและบำรุงร่างกายได้

ฟักเขียวเป็นไม้เถาเลื้อยตระกูลแตง ใบมีสีเขียวเป็นหยักใบหยาบ ดอกมีสีเหลือง ผลเป็นรูปกลมยาวขนาดปานกลางถึงขนาดใหญ่ เปลือกสีเขียวมีขนอ่อนเล็กน้อย เนื้อในจะมีสีขาว เนื้อแน่น ฉ่ำน้ำ ตรงกลางมีเมล็ด ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด ปลูกได้ในดินร่วนปนทรายระบายน้ำได้ดี เป็นผักที่มีอายุการปลูกสั้น ปลูกเพียง 3 เดือนก็สามารถเก็บผลผลิตได้แล้ว

คุณค่าทาง โภชนาการ
คนไทยจะนำผลฟักเขียวมาประกอบอาหารโดยการใส่ในแกง ต้ม ผัดต่างๆ บ้างทำเป็นขนมหวานในเทศกาล แต่เมนูยอดนิยมคงจะเป็นแกงเขียวหวานไก่ฟักเขียว แกงจืดฟักต้มกับไก่ แกงเลียง ฟักเขียวผัดกับหมูใส่ไข่ ฟักเชื่อม รวมถึงยอดอ่อนที่นำมาลวก หรือต้มกะทิ กินกับน้ำพริกได้ มีรสชาติอร่อยไม่แพ้ผักอื่นเหมือนกัน

ทั่วโลกใช้ผลฟักเขียวกินได้ทั้งดิบและสุกใช้เป็น ผัก ดอง ปรุงแกงเผ็ด หรือกวนแยม กินได้ทั้งผลอ่อนและผลแก่
ผลอ่อนจะรสเข้มกว่าผลแก่ เนื้อผลจะมีน้ำมาก สามารถเก็บรักษาผลได้นานเป็นเดือนหรือค่อนปีเพราะมีขี้ผึ้งเคลือบอยู่ภายนอก
ใบอ่อนและตาดอกกินโดยการนึ่งใช้เป็นผัก หรือใส่ในแกงจืดเพิ่มรสชาติ
เมล็ดทำให้สุกแล้วกินได้ อุดมไปด้วยน้ำมันและโปรตีน

สรรพคุณทางยา
สรรพคุณทางยาแผนไทยของฟักเขียวมีมากมาย
ใบ แก้ฟกช้ำ แก้พิษผึ้งต่อย ช่วยรักษาบาดแผล แก้โรคบิด แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้บวมอักเสบมีหนอง
ผล ขับปัสสาวะ ขับเสมหะ แก้ไอ แก้ธาตุพิการ แก้โลหิตเป็นพิษ บวมน้ำ หลอดลมอักเสบ
เมล็ด ใช้ลดไข้ แก้ริดสีดวงทวาร แก้โรคทางเดินปัสสาวะ แก้ไตอักเสบ บำรุงผิว ละลายเสมหะ
ราก ต้มดื่มแก้ไข้ แก้กระหายน้ำ ถอนพิษ
เถาสด รสขมเย็น ใช้รักษาริดสีดวงทวาร มีไข้สูง
เปลือก เป็นยาแก้บวม ขับปัสสาวะ แก้ท้องเสีย แผลบวมอักเสบ มีหนอง

ผลฟักเขียวทั้งลูกมีที่ใช้ในทางยาทั่วโลก เปลือกผล กินขับปัสสาวะ เถ้าเปลือกใช้ใส่แผล เมล็ดขับพยาธิ ลดอักเสบ หล่อลื่นอวัยวะเมือก ลดไข้ ขับปัสสาวะ ขับเสมหะ ใช้เป็นยาระบาย และเพิ่มกำลังวังชา

ตำรายาอายุรเวทของประเทศอินเดียใช้เมล็ดฟักเขียวแก้ ไอ แก้ไข้ กระหายน้ำ และขับพยาธิ น้ำมันจากเมล็ดใช้ขับพยาธิด้วย ผลมีฤทธิ์เพิ่มพลังเพศ ขับปัสสาวะ เป็นยาระบาย และเพิ่มกำลังวังชา ใช้รักษาโรคชัก โรคปอดและหอบหืด น้ำคั้นผลฟักใช้รักษาโรคชักและโรคเส้นประสาท

งานวิจัยพบสารเทอร์พีนต้านมะเร็งจากผลฟัก ส่วนน้ำต้มรากใช้รักษาโรคหนองใน ขี้ผึ้งหุ้มผลใช้ทำเทียนไขได้ ระบบรากทนต่อโรคจึงไว้ใช้เป็นต้นตอสำหรับการปลูกพืชตระกูลแตงอื่นๆ

ประเทศเกาหลีใช้ฟักเขียวในการรักษาโรคเบาหวานและขับปัสสาวะ

งานวิจัยฟักเขียวในปัจจุบัน ต้านและป้องกันมะเร็ง ป้องกันโรคหลอดเลือดและลดขนาดเซลล์ไขมัน

งานวิจัยในประเทศเกาหลีทดสอบฤทธิ์ต้านการสร้างหลอดเลือดจากสารสกัดเมล็ดของฟักเขียว พบว่าสารสกัดเมล็ดฟักเขียวลดการแบ่งตัวของเซลล์และการสร้างหลอดเลือด ชนิดที่ต้องการสารกระตุ้นการเจริญจากไฟโบรบลาสต์ (basic fibroblast growth factor bFGF) โดยแปรผันตามความเข้มข้นสารสกัด สารสกัดดังกล่าวไม่มีพิษต่อเซลล์ปกติ นอกจากนั้นแล้วสารสกัดเมล็ดฟักเขียวแสดงผลหยุดยั้งการสร้างหลอดเลือดชนิดที่ ต้องการ bFGF ในสัตว์ทดลองอีกด้วย

ประเทศจีนใช้ฟักเขียวในการรักษาผู้ป่วยความดันเลือดสูงและรักษาอาการอักเสบ งานวิจัยในประเทศจีนศึกษาฤทธิ์ต้านออกซิเดชั่นและฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์สร้าง แอนจิโอเทนซิน (angiotensin-converting enzyme ACE) ของเนื้อผล ไส้ เมล็ดและเปลือกฟักเขียวด้วยการสกัดต่างวิธี

สารสกัดจากเมล็ดมีสารต้านออกซิเดชั่นของกรดไลโนเลอิกมากที่สุดและพบน้อยสุดในเนื้อผล สารสกัดเมล็ดลดอัตราออกซิเดชั่นของไขมันชนิดไม่ดี (low-density lipoprotein = LDL) และยับยั้งฤทธิ์เอนไซม์สร้างแอนจิโอเทนซิน ได้มากที่สุด เมื่อเทียบกับสารสกัดจากส่วนอื่นของผลฟัก คาดว่าผลเหล่านี้เนื่องมาจากเมล็ดฟักมีสารประกอบฟีนอลและมีฤทธิ์เอนไซม์ ซูเปอร์ออกไซด์ดิสมิวเตสมากกว่าในส่วนอื่นของผล เชื่อว่าสรรพคุณของเมล็ดฟักเขียวดังที่กล่าวมานี้อาจใช้ในการป้องกันโรคหลอดเลือดและมะเร็งได้

การวิจัยเนื้อฟักเขียวลดความเซลล์ไขมันในประเทศจีนมีผงไฮดองกัว ซึ่งประกอบด้วยสาหร่ายลามินาเรีย และเนื้อฟักเขียว พบว่าเมื่อหนูเบาหวานไฮโพทาลามิกจากผงชูรสได้รับผงไฮดองกัว 2.5 กรัม/กิโลกรัม หนูเหล่านั้นมีขนาดเซลล์ไขมันลดลงและมีค่าดรรชนีโรคอ้วนต่ำลงด้วย โดยหนูทดลองกินอาหารปกติ ไม่มีอาการท้องเสีย ไม่มีความผิดปกติเกี่ยวข้องกับต่อมไทรอยด์และการเผาผลาญน้ำและเกลือแต่อย่างใด

อันตรายจากน้ำมะนาวเทียม


ใครที่ชอบทานส้มตำคงคุ้นตาดีกับภาพแม่ค้าขายส้มตำปรุงรสด้วยน้ำมะนาวสีเขียว ใสๆ ที่บรรจุอยู่ในขวดแก้ว (อันที่จริงก็ไม่ถึงกับทุกร้านหรอกนะครับ) น้ำมะนาวที่เห็นนั้นเรียกว่าน้ำมะนาวเทียมหรือเกร็ดมะนาว ให้มีรสเปรี้ยวแหลม ราคาถูก อีกทั้งยังมีสีสันคล้ายคลึงกันกับน้ำมะนาวจริงเกือบทุกประการ

สิ่งที่ต้องระวังสำหรับผู้ที่ทานน้ำมะนาวเทียมเป็นประจำก็คือ เครื่องปรุงรส ดังกล่าวผลิตมาจากกรด “ซิตริก” ซึ่งถูกใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม มีความบริสุทธิ์น้อยและมีสารปนเปื้อน ที่สำคัญต่อ สามารถย่อยสลายสิ่งต่างๆได้ ไม่เว้นแม้แต่อวัยวะภายในระบบทางเดินอาหารของผู้บริโภค ผู้ที่ชื่นชอบอาหารรสแซบทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นต้มยำ ส้มตา หรือแม้แต่น้ำหวานหรือไอศกรีมรสมะนาวต้องคอยสังเกตวัตถุดิบที่พ่อค้า–แม่ค้า ใช้ดูให้ดี

นี่เป็นเพียงแค่ตัวอย่างส่วนหนึ่งของอาหารที่มีสารปนเปื้อน ในความเป็นจริงแล้ว อาหารต่างๆ ที่ผ่านกระบวนการทางอุตสาหกรรม และมุ่งหวังผลประโยชน์การค้อเป็นสำคัญ ล้วนมีสารพิษชนิดใดชนิดหนึ่งที่เจือปนอยู่ทั้งนั้น นับเป็นเรื่องที่อันตรายเป็นอย่างยิ่งของมนุษย์ยุคปัจจุบันที่ไม่อาจสืบทราบ ที่มา ตลอดจนเส้นทางการเดินทางของอาหารที่ตนทานได้

หนทางป้องก้น จึงควรที่จะหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีสารปนเปื้อน หรือใช้วิธีการบริโภคอาหารที่มีสารพิษปนเปื้อน หรือใช้วิธีการรับประทานอาหารเหล่านี้หมุนเนียนสับเปลี่ยนทานอาหารให้ได้ หลากหลายประเภทโดยไม่ซ้ำหน้ากันก็จะช่วยลดความเสี่ยงสะสมในการรับและสะสมสาร พิษภายในร่างกายลงได้

ส่วนการรณรงค์ให้ผู้ ประกอบการ ลด ละ เลิก การใช้สารเคมีนั้น เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลายาวนาน

2572 ดาวเคราะห์น้อยเฉียดโลก


ในช่วงเทศกาลคริสต์มาส 2547 ถึงปีใหม่ 2548 ขณะที่ภาคใต้ฝั่งอันดามันของไทยกำลังประสบภัยจากคลื่นยักษ์สึนามิ ท่ามกลางความสนใจของสื่อมวลชนและผู้คนทั่วโลกที่พุ่งเป้าไปที่ภัยพิบัติ ครั้งนั้น อีกมุมหนึ่งนักดาราศาสตร์หลายคนกำลังให้ความสนใจเป็นพิเศษกับดาวเคราะห์น้อย ดวงหนึ่งที่บ่งบอกว่ามันอาจเป็นอันตรายร้ายแรงต่อโลกได้ในอนาคตอันใกล้

เส้นทางการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์น้อยอะโพฟิสในวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2572 แรงดึงดูดของโลกทำให้วงโคจรของดาวเคราะห์น้อยถูกเบี่ยงเบน (ภาพดัดแปลงจาก Near Earth Object Program/NASA)

ดาวเคราะห์น้อยอะโพฟิส (99942 Apophis) ซึ่งขณะนั้นถูกเรียกว่า 2004 เอ็มเอ็น 4 (2004 MN4) ถูกพบครั้งแรกเมื่อเดือนมิถุนายน 2547 แต่ไม่สามารถติดตามสังเกตการณ์ต่อได้ กลับมาพบอีกครั้งในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน ข้อมูลวันที่ 27 ธันวาคม 2547 ชี้ว่าวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2572 (ค.ศ. 2029) ดาวเคราะห์น้อยดวงนี้จะผ่านใกล้โลกและมีโอกาสชนโลกด้วยอัตราส่วน 1 ใน 38 ซึ่งนับว่าสูงมากเมื่อเทียบกับบรรดาดาวเคราะห์น้อยที่มีวงโคจรใกล้โลกดวงอื่นๆ ที่ได้ค้นพบไปก่อนหน้านั้น

แม้อัตราส่วนดังกล่าวคือโอกาสประมาณ 2.6 เปอร์เซนต์ แต่คำว่า "มีโอกาส" ไม่ว่าจะน้อยหรือมากมีความหมายอย่างเดียวกัน คือ นักดาราศาสตร์ไม่สามารถฟันธงได้ว่าปี 2572 โลกจะเผชิญกับหายนะจากดาวเคราะห์น้อยดวงนี้หรือไม่ อะโพฟิสจึงเข้าไปอยู่ในรายชื่อดาวเคราะห์น้อยที่ต้องจับตามองโดยอัตโนมัติ

ไม่กี่วันถัดมาหลังจากได้ข้อมูลวงโคจรเบื้องต้นของอะโพฟิส นักดาราศาสตร์ได้ไปค้นหาภาพถ่ายในคลังภาพของท้องฟ้าบริเวณที่ดาวเคราะห์น้อย ดวงนี้น่าจะเคลื่อนผ่าน เจฟฟ์ ลาร์เซน และ แอนน์ เดสเคอร์ พบอะโพฟิสในภาพที่ถ่ายไว้เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2547 ด้วยกล้องโทรทรรศน์ขนาด 0.9 เมตรของหอดูดาวคิตต์พีก แอริโซนา มันช่วยให้คำนวณวงโคจรได้แม่นยำขึ้น สามารถบอกได้ว่าดาวเคราะห์น้อยอะโพฟิสจะไม่ชนโลกและดวงจันทร์อย่างแน่นอน แต่เฉียดผ่านโลกด้วยระยะห่างประมาณ 64,400 กิโลเมตร

ผลจากเรดาร์

วันที่ 27-30 มกราคม 2548 ทีมนักดาราศาสตร์นำโดย แลนซ์ เบนเนอร์ แห่งห้องปฏิบัติการขับดันไอพ่น (เจพีแอล) ขององค์การนาซาได้ติดตามดาวเคราะห์น้อยอะโพฟิสด้วยเรดาร์ของกล้องโทรทรรศน์ วิทยุอะเรซิโบที่ตั้งอยู่ที่เปอร์โตริโก การส่งคลื่นวิทยุไปสะท้อนกับพื้นผิวของดาวเคราะห์น้อยทำให้ทราบข้อมูล ตำแหน่งรวมทั้งความเร็วในการเคลื่อนที่ได้ดีกว่าการคำนวณก่อนหน้านี้ที่อาศัยเพียงภาพถ่าย

ข้อมูลจากเรดาร์สรุปได้ในที่สุดว่าวันที่ 13 เมษายน 2572 อะโพฟิสจะเฉียดผ่านโลกด้วยระยะห่าง 36,350 กิโลเมตร หรือคิดเป็น 5.7 เท่าของรัศมีโลก ใกล้กว่าดวงจันทร์เกือบ 11 เท่า และใกล้กว่าดาวเทียมค้างฟ้า

มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

การเข้าใกล้โลกอย่างมากของดาวเคราะห์น้อยอะโพฟิสในช่วงสงกรานต์ พ.ศ. 2572 ทำให้เรามีโอกาสสังเกตเห็นมันในเวลากลางคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในแถบตะวันตกของทวีปเอเชีย ทวีปยุโรป และแอฟริกา ไม่ต้องใช้กล้องสองตาหรือกล้องโทรทรรศน์ ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนในพื้นที่แถบชานเมืองและที่ห่างไกลจากเมืองใหญ่ อะโพฟิสจะปรากฏเหมือนดาวทั่วไปบนท้องฟ้าแต่เคลื่อนที่ได้และเร็ว นักดาราศาสตร์เรียกเหตุการณ์นี้ว่าเป็นเหตุการณ์ครั้งเดียวในรอบสหัสวรรษ

ที่ผ่านมามีดาวเคราะห์น้อยผ่านใกล้โลกหลายดวง แต่ไม่เคยมีดวงใดที่สว่างจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเช่นนี้มาก่อน นักดาราศาสตร์คะเนว่าเหตุการณ์ทำนองนี้มีโอกาสเกิดขึ้นทุกๆ 1,300 ปีหรือนานกว่านั้น

วงโคจร

ดาวเคราะห์น้อยอะโพฟิสโคจรรอบดวงอาทิตย์ด้วยวงโคจรต่างจากดาวเคราะห์น้อย ส่วนใหญ่ที่อยู่ในแถบดาวเคราะห์น้อยหลัก (ระหว่างวงโคจรของดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี) วงโคจรของมันอยู่ใกล้วงโคจรโลก เส้นทางส่วนใหญ่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่าโลกและเคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์ด้วยคาบ 323 วัน

แม้ว่าอะโพฟิสจะไม่ชนโลกในปี 2572 แต่นักวิทยาศาสตร์ก็กระตุ้นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมแผนป้องกันไว้ เพราะแรงโน้มถ่วงของโลกจะเบนวงโคจรของอะโพฟิส ส่งผลให้การคาดหมายวงโคจรในอนาคตมีความแม่นยำน้อยลง ผลการคำนวณล่าสุดระบุว่าวันอาทิตย์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2579 อะโพฟิสจะเข้าใกล้โลกอีกครั้งและมีโอกาสชนโลก 1 ใน 45,000 หรือ 0.002% นอกจากนี้ยังมีดาวเคราะห์น้อยดวงอื่นทั้งที่พบแล้วและยังไม่พบที่มีโอกาสเป็นอันตรายต่อโลกได้ในอนาคต ดังนั้นการเตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้าก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย

พบยุงลายดื้อสารเคมี..ไม่ตายแค่สลบ


กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ทำการศึกษาและเฝ้าระวังยุงลายดื้อต่อสารเคมีกำจัดแมลงในการควบคุมยุงลายตามภาคต่างของประเทศไทย พบว่ายุงลายเกือบทุกพื้นที่ดื้อต่อสารเคมีกำจัดแมลงเพอร์เมทริน (permethrin) ชี้สาเหตุอาจเกิดจากการใช้สารเคมีดังกล่าวติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้ยุงลายสร้างความต้านทานขึ้นมา

นายแพทย์จักรธรรม ธรรมศักดิ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า โรคไข้เลือดออกเกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี่ ติดต่อโดยมียุงลายบ้านเป็นพาหะสำคัญ ซึ่งเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ เนื่องจากไม่มียารักษาแต่จะรักษาตามอาการเท่านั้น ส่วนวัคซีนที่ใช้ป้องกันโรคขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการพัฒนา วิธีป้องกันคือการป้องกันไม่ให้ยุงลายกัดและการกำจัดลูกน้ำยุงลายโดยการใช้ สารเคมีทีมีฟอส การพ่นหมอกควันหรือพ่นฝอยละเอียดด้วยสารเคมี permethrin , deltamethrin และ fenitrothion เพื่อกำจัดยุงตัวเต็มวัยในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค แต่การใช้สารเคมีติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้ยุงสร้างความต้านทานขึ้นมา ส่งผลให้เกิดปัญหาการควบคุมและป้องกันโรคไข้เลือดออกได้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จึงได้จัดทำโครงการเฝ้าระวังการดื้อต่อสารเคมีกำจัดแมลงที่ใช้ในการควบคุม ยุงลาย เพื่อศึกษาการดื้อต่อสารเคมีทีมีฟอสของลูกน้ำยุงลาย รวมทั้งการดื้อต่อสารเคมีที่ใช้พ่นกำจัดตัวเต็มวัยที่มีการใช้ในปัจจุบัน

เมื่อพบเจอยุงวิธีกำจัดยุงส่วนใหญ่จะใช้สารเคมีหรือสเปรย์กำจัดแมลง นอกจากยุงจะไม่ตายแล้ว เมื่อยุงได้รับสารเคมี ยุงจะสามารถพัฒนาตัวเองเพื่อต่อต้าน โดยเมื่อแม่ยุงได้รับสารเคมี ลูกยุงที่อยู่ในท้องจะรับเอาสารเคมีแล้วสร้างภูมิคุ้มกัน เมื่อลูกยุงเกิดมาและได้รับสารเคมีชนิดเดิม ยุงก็ไม่ตาย ซึ่งปัจจุบันสารเคมีในท้องตลาด ไม่สามารถฆ่ายุงให้ตายได้ บริษัทก็ได้พัฒนาเพิ่มความเข้มข้นให้ผลิตภัณฑ์เรื่อยๆ ซึ่งส่งผลต่อผู้ใช้งาน ทำให้คนรับเอาสารเคมีและสะสมในร่างกายเกิดเป็นโรคภัยใหม่ๆ ขึ้นมา

หัวหน้าฝ่ายศึกษาและกำจัดแมลงโดยใช้สารเคมีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า วิธีการกำจัดยุงที่จะไม่ทำให้ยุงสร้างภูมิคุ้มกันคือ การใช้ผงซักฟอก โดยผสม ผงซักฟอก 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 2 ลิตร หรืออาจใช้สบู่ละลายน้ำ หรือน้ำยาล้างจาน ละลายน้ำก็ได้ เมื่อผสมแล้วใส่ในขวดน้ำที่มีหัวเป็นเปรย์ฉีดพ่น นำไปใช้ฉีดพ่นเพื่อกำจัดยุงได้ เนื่องจากไปยับยั้งระบบหายใจของยุง และลูกยุงไม่สามารถพัฒนา สร้างภูมิคุ้มกันได้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์