
ร่างกายของเราเปรียบเสมือนบ้านหลังใหญ่ให้จุลินทรีย์ได้อาศัยจุลินทรีย์ทั้งหลายเหล่านี้มีบทบาทมากบ้างน้อยบ้าง บางตัวดี บางตัวร้าย บางตัวเปลี่ยนจากดีเป็นร้ายได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร ทุกอย่างก็หลอมรวมเป็นโลกใบใหญ่ ในตัวเราทุกคนมาจวบจนถึงวันนี้
จุลินทรีย์มีอยู่ทุกหนแห่ง หากโลกของเราปราศจากจุลินทรีย์ โลกก็คงล่มสลาย จุลินทรีย์มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนทุกชีวิตบนโลกโดยทำหน้าที่เป็นผู้ย่อย สลายทำให้เกิดการหมุนเวียนสารอาหารในสิ่งแวดล้อม ช่วยพืชสังเคราะห์แสง ช่วยป้องกันพืชและสัตว์ รวมถึงมนุษย์ด้วย
ร่างกายมนุษย์เรานั้นปกคลุมด้วยจุลินทรีย์ เซลล์ในร่างกายเราว่ามีจำนวนมากแล้ว แต่เชื่อหรือไม่ว่า จุลินทรีย์ที่มีอยู่ใน ตัวเรานี้มีมากกว่าจำนวนเซลล์เป็นสิบเท่า ร่างกายคนเราคือโลกใบใหญ่ของจุลินทรีย์โดยแท้ โลกใบใหญ่ในตัวเรานี้มีทั้งประชากรแบคทีเรีย รา ยีสต์ และโปรโตซัว สิ่งมีชีวิตที่เล็กจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นเหล่านี้ครอบครองพื้นที่เกือบทุก อณูในร่างกายทั้งภายนอกและภายใน...
จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน
จุลินทรีย์อาศัยร่างกายของเรามาตั้งแต่เกิดและเมื่อสิ้นลมหายใจ จุลินทรีย์เข้าครอบครองและจัดการย่อยสลายซากชีวิตของเราจนกลายเป็นฝุ่นผงการ ที่ร่างกายของเรามีจุลินทรีย์อาศัยอาจสร้างความรู้สึกตะขิดตะขวง แต่จริงๆ แล้วมันก็เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่เราลืมตาขึ้นมาดูโลก ทารกที่อยู่ในครรภ์นั้นอยู่ในสภาพปลอดเชื้อโดยสิ้นเชิง แต่จุลินทรีย์จะเริ่มลงหลักปักฐานในร่างกายของเราตั้งแต่แรกคลอดจากท้องแม่ ทารกเริ่มได้รับเชื้อจุลินทรีย์ขณะที่คลอด ผ่านช่องคลอด เริ่มต้นสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมภายนอก และเริ่มรับเอาจุลินทรีย์ต่างๆ เข้าสู่ร่างกาย ทั้งโดยการสัมผัส การ กินอาหาร การหายใจ จากนั้นค่อยๆ มีการเปลี่ยนแปลง จน กระทั่งจะมีจุลินทรีย์จำนวนหนึ่งอยู่กับเราไปจนตลอดชีวิต เรียกว่า จุลินทรีย์ประจำถิ่น (normal flora) เราจะพบจุลินทรีย์ประจำถิ่นได้ในทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นผิวหนัง ทางเดินหายใจ ทาง เดินปัสสาวะ ระบบย่อยอาหาร ส่วนอวัยวะที่ไม่พบจุลินทรีย์อาศัยก็คือ สมอง ระบบเลือด ระบบน้ำเหลือง และปอด
ทบทวนความสัมพันธ์
ในเมื่อร่างกายของเราคือโลกใบใหญ่สำหรับจุลินทรีย์ พวกมันได้พึ่งพาอาศัยอยู่ในตัวเรา ซึ่งการอยู่อาศัยในร่างกายของเรานั้นมีรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าบ้าน คือตัวเรา และผู้อาศัยคือจุลินทรีย์อยู่สามแบบหลักๆ คือ แบบพึ่งพากัน (mutualism), แบบอิงอาศัย (commensalism), และแบบปรสิต (parasitism)
ความสัมพันธ์แบบพึ่งพากันนั้นทั้งฝ่ายเจ้าบ้านและผู้อาศัย ต่างได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ส่วนความสัมพันธ์แบบอิงอาศัย เจ้าบ้านไม่ได้หรือไม่เสียประโยชน์ แต่ผู้อาศัยได้รับประโยชน์ และความสัมพันธ์แบบสุดท้ายคือแบบปรสิต เจ้าบ้านเป็นฝ่ายเสียประโยชน์ในขณะที่ผู้อาศัยได้ประโยชน์อยู่ฝ่ายเดียว ความสัมพันธ์แบบพึ่งพาและแบบอิงอาศัยนั้นบางครั้งก็อาจระบุได้ยาก หากยังไม่ทราบความสัมพันธ์อย่างชัดเจนระหว่างจุลินทรีย์และร่างกายของเรา
ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าบ้านกับชุมชนจุลินทรีย์ผู้อาศัย จะเป็นความสัมพันธ์เชิงบวกหรือลบนั้นขึ้นกับหลายปัจจัย ร่างกายของเจ้าบ้านให้อาหารและที่พักแก่เหล่าจุลินทรีย์ จุลินทรีย์ยึดครองพื้นที่ส่วนต่างๆ ทำให้จุลินทรีย์ก่อโรคเข้ามายึดครองพื้นที่ไม่ได้ นอกจากนี้ ชุมชนของจุลินทรีย์ยังมีส่วนช่วยร่างกายเจ้าบ้านทำหน้าที่ต่างๆ เช่น การย่อยอาหาร หรือสังเคราะห์ สารอาหารที่เป็นประโยชน์ทั้งต่อตัวจุลินทรีย์และเจ้าบ้าน แต่ความสัมพันธ์เช่นนี้ก็มิได้คงเส้นคงวาเสมอไป ในบางสภาวะ จุลินทรีย์ผู้อาศัยก็อาจกลายร่างเป็นจุลินทรีย์ก่อโรค หรือถูกรุก รานโดยจุลินทรีย์ก่อโรคชนิดอื่น ผลที่เกิดจากเหตุนี้ก็คือ ร่างกายของเจ้าบ้านเจ็บไข้ไม่สบาย ซึ่งไม่ว่าจะมีความสัมพันธ์เช่นไร เมื่อคนและจุลินทรีย์ต้องมาอยู่ร่วมกันแล้ว เราก็น่าจะทำความรู้จักจุลินทรีย์ตามอวัยวะต่างๆ กันสักหน่อย
ชีวิตบนพื้นผิว (หนัง)
ผิวหนังมนุษย์มีจุลินทรีย์ทั้งหมดประมาณ 1012 เซลล์ (หนึ่งล้านล้านเซลล์) พื้นที่ผิวหนังของคนเรานั้นมีขนาดพื้นที่ประมาณสองตารางเมตร กระนั้นก็มีสภาพความแตกต่างที่หลากหลาย เปรียบได้กับภูมิภาคต่างๆ ของโลก อย่างเช่น สภาพแห้งแล้งเป็นทะเลทรายของท่อนแขน สภาพอบอุ่นของหนังศีรษะ และสภาพร้อนชื้นของรักแร้ เป็นต้น ซึ่งก็ทำให้มีจุลินทรีย์ชุมนุมอยู่ตามส่วนต่างๆ ในปริมาณและชนิดที่แตกต่างกันไป แต่โดยรวมแล้วผิวหนังคนเรานั้นมีสภาพที่ ค่อนข้างแห้ง เป็นกรดอ่อน ทำให้จุลินทรีย์ส่วนใหญ่อยู่ไม่ได้ กระนั้นก็ยังมีจุลินทรีย์บางชนิดที่ปรับตัวและอาศัยอยู่บนผิวหนังมนุษย์ได้
ยกตัวอย่างเช่น โพรพิโอนิแบคทีเรียม แอกเนส (Propioni- bacterium acnes) เป็นแบคทีเรียแกรมบวก* ที่ไม่ใช้ออกซิเจน แหล่งอาศัยของพวกมันจึงเป็นรูหรือต่อมที่อยู่ลึกลงไปในผิวหนัง ซึ่งมีออกซิเจนต่ำ เห็นชื่อ P. acnes ก็คงจะเดาได้ว่าแบคทีเรียชนิดนี้เป็นตัวการทำให้เกิดสิว (acne) แต่ในเด็กที่อายุต่ำกว่า 10 ปีก็จะไม่ค่อยพบจุลินทรีย์ชนิดนี้ นั่นเป็นเพราะวัยเด็กยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางเคมีที่ทำให้ต่อมไขมันใต้ผิว หนังเริ่มขับไขมัน (sebum) ออกมา ทำให้ P. acnes เพิ่มจำนวนขึ้น แม้ว่าเรื่องสิวจะเป็นเรื่องเล็ก แต่หาก P. acnes ครอบครองพื้นที่ผิวหนังมากเกินไป ก็จะเป็นช่องทางให้เชื้อจุลินทรีย์ชนิดอื่นที่อันตรายกว่าเข้าสู่ร่างกายได้ ง่ายขึ้น
สำหรับแบคทีเรียตัวหลักที่ครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของผิวหนังก็คือ สแตฟิโลคอกคัส อีพิเดอร์มิดิส (Staphy- lococcus epidermidis) เป็นแบคทีเรียแกรมบวกที่ปรับตัวได้เก่ง อาศัยอยู่ในร่างกายได้หลายที่ ถ้า S. epidermidis ระบาดในโรงพยาบาลก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต S. epidermidis จะก่อตัวเป็นรูปแบบไบโอฟิล์ม (biofilm) ติดกับพื้นผิวของเครื่องมือแพทย์ โดยไบโอฟิล์มนี้มีฤทธิ์ต้านทานยาปฏิชีวนะ อันที่จริงแล้ว S. epidermidis นั้นไม่ใช่จุลินทรีย์ก่อโรค แต่ในบางกรณีมันอาจกลายเป็น “เชื้อฉวยโอกาส” (opportunistic organism) ที่ทำให้เกิดโรคได้
จุลินทรีย์ที่ดวงตา
เมื่อนำเยื่อตามาเพาะเชื้อก็พบกับแบคทีเรียหลายชนิดในปริมาณไม่มากนัก ได้แก่ S. epidermidis, P. acnes, นอกจากนี้ยังมีโอกาสพบ สแตฟิโลคอกคัสออเรียส (Staphy- lococcus aureus), เฮโมฟิลัส (Haemo- philus sp)., และ ไนส์ซีเรีย (Neisseria sp.) เยื่อตานั้นคงความชุ่มชื้นและสุขภาพดีอยู่เสมอโดยมีของเหลวจากต่อมน้ำตา หลั่งออกมาหล่อลื่นและฆ่าเชื้อ จึงไม่ค่อยพบจุลินทรีย์ที่บริเวณเยื่อตามากนัก
จุลินทรีย์ทุกลมหายใจ
จมูกคนเราเป็นแหล่งอาศัยของแบคทีเรียนามกระฉ่อนอย่าง S. aureus (อีกบริเวณที่มี S. aureus อยู่มากก็คือ บริเวณรอบทวารหนักและอวัยวะสืบพันธุ์) ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่ขึ้นชื่อลือชาในโรงพยาบาลด้านการติดเชื้อจากแผลผ่าตัด และการติดเชื้อจากระบบโรงพยาบาล นอกจากนี้ยังมี S. aureusสายพันธุ์พิเศษที่ชื่อ MRSA (Methicillin Resistance Staphylococcus aureus) ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะเมทิซิลลิน และแวนโคมัยซิน ปัจจุบันการพบเชื้อ MRSA เป็นปัญหาสำคัญในโรงพยาบาลที่เป็นอันตรายถึงชีวิต โดยแบคทีเรียจะติดต่อจากคนไข้คนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งแต่ก็มีบางคนที่แม้จะ ได้รับเชื้อก็จะไม่แสดงอาการ ซึ่งก็ยังไม่ทราบสาเหตุว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น